ร.พ.เอกชนกลาง-เล็กเฟ้นทางรอดปรับทัพใหญ่หันเจาะ'นิชมาร์เก็ต'
ปี
2557
ยังเป็นปีที่มีความเคลื่อนไหวด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่องของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน
สอดคล้องกับข้อมูลของศูนย์พยากรณ์ เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ซึ่งสำรวจ 10 อันดับธุรกิจเด่นในปี 2557 พบว่า อันดับ 1 คือ
"ธุรกิจทางการแพทย์และความงาม"
จากกระแสการให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพและการดูแลความงามมีมากขึ้น
การบริการทางการแพทย์และความงามของไทยมีคุณภาพดีและราคาไม่แพงในสายตาของคนไทยและต่างชาติ,
เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงก็คือการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญและความเพียงพอของบุคลากรในการรักษา โดยเฉพาะสาขาพยาบาล รวมถึงปัญหาความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและไทยทำให้หลายค่ายโดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ส่งสัญญาณการลงทุนในปีหน้าที่เน้นความระมัดระวังเป็นหลัก โดยมีตัวแปรสำคัญคือ "การเมือง"อย่างกลุ่มกรุงเทพดุสิต เวชการ หรือเครือโรงพยาบาล กรุงเทพ ผู้นำตลาดโรงพยาบาลเอกชน ที่มีเครือข่ายมากที่สุดรวม 32 แห่ง ตั้งเป้าจะสยายปีกให้ครบ 50 แห่งในปี 2558 ก็ปรับแผนเน้นดำเนินธุรกิจในปีหน้าอย่างระมัดระวังมากขึ้น
"น.พ.ชาตรี ดวงเนตร" กรรมการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ประธาน เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ-การแพทย์ บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปี 2556 การซื้อกิจการโรงพยาบาลและสร้างโรงพยาบาลใหม่ ยังเดินหน้าปรับปรุงและก่อสร้างต่อเนื่อง แต่ช่วงเวลาที่จะเปิดให้บริการต้องรอดูสถานการณ์ ซึ่งอาจจะเลื่อนจากกำหนดเดิม หรือเลือกเปิดตัวช่วงไหนยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม แผนการลงทุนปีหน้าจะต้องระมัดระวังและรัดเข็มขัดมากขึ้น
ขณะที่ "น.พ.เฉลิม หาญพาณิชย์" ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารโรงพยาบาล เกษมราษฎร์ ฉายภาพว่า หลังจากที่ผ่านมา เน้นซื้อขายกิจการกันอุตลุด บิสซิเนสโมเดลของโรงพยาบาลในวันนี้เปลี่ยนไป ภาพของการควบรวมจะน้อยลง ส่วนหนึ่งเพราะโรงพยาบาลดี ๆ ให้ซื้อมีจำนวนลดลง ที่เหลืออยู่ก็ไม่มีความต้องการขาย
ดังนั้น
เชื่อว่าแนวทางขยายของแต่ละค่ายจากนี้จะเน้นการสร้างโรงพยาบาลใหม่
เพื่อตอบโจทย์ด้านศักยภาพ รวมถึง หลายค่ายหันมาใช้วิธีผนึกกำลังในแง่
ของความร่วมมือกันด้านบริการทางการแพทย์
เป็นอีกโมเดลล่าสุดที่ฮอตฮิตในปีนี้ที่เรียกว่า
"เซอร์วิสเมอร์จิ้งโมเดล" (Service Merging Model) ซึ่งยังไม่ถึงขั้นเกิดการซื้อขายกัน
ด้วยเงื่อนไขการซื้อกิจการที่จำกัดมากขึ้น
ทำให้แนวโน้มของโรงพยาบาลเอกชนจากนี้จะเห็นการเปิดตัว "บิสซิเนสโมเดล"
ใหม่ ๆ ออกมา เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และการขยายตัวทางธุรกิจ
นอกจากภาพการลงทุนของกลุ่ม
โรงพยาบาลขนาดใหญ่แล้ว ในปี 2556 จะเห็นว่าเครือขนาดกลางและขนาดเล็กก็มีการขยับตัวอย่างคึกคักเช่นกัน
โจทย์ใหญ่ คือ ต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดและสามารถแข่งขันได้
รวมถึงโอกาสจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี
ที่จะช่วยเพิ่มฐานคนไข้ต่างชาติในไทยและคนที่ทำงานแถบอาเซียน โดยเฉพาะอินโดจีน
ค่ายที่ปรับตัวแรงคือ
กลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ ขนาดกลาง-เล็ก ตั้งแต่ 20-100 เตียง
ซึ่งตลอดปีนี้เดินหน้าเพิ่มศักยภาพการรักษาเฉพาะทาง โดยเปิดศูนย์หัวใจครบวงจร
พร้อมเสริมทีมแพทย์ที่มี ชื่อเสียงอย่าง น.พ.วิรุณ โทณะวณิก ผู้เชี่ยวชาญทางมะเร็งต่อมลูกหมาก
จากอเมริกา มาช่วยดูแลคนไข้และ ฝึกอบรมแพทย์ ทั้งยังมีแผนลงทุนศูนย์ศัลยกรรมให้มีความครบวงจร
หากได้รับการตอบรับดีก็สนใจต่อยอดไปสู่โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านความงาม
เป็นโมเดลเดียวกับ โรงพยาบาลยันฮีใน 2-3 ปีข้างหน้า
"น.พ.กำพล พลัสสินทร์" กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) เชื่อว่า ในอนาคตโรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีจุดขายชัดเจน หรือวาง โพซิชันนิ่งดูแลลูกค้าเฉพาะกลุ่ม มีโอกาสที่จะอยู่รอดท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง เพื่อรองรับการขยายตัว ที่ผ่านมา โรงพยาบาลจุฬารัตน์ยังได้นำบริษัทเข้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อระดมทุนครั้งใหญ่ และทำให้ปลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าซื้อหุ้นของโรงพยาบาลชลเวชไม่น้อยกว่า 80% คิดเป็นงบฯลงทุน 50-60 ล้านบาท เป็นโรงพยาบาลขนาด 20 เตียง พร้อมลงทุนโรงพยาบาลใหม่เพิ่มอีกแห่งที่ปราจีนบุรี พื้นที่กว่า 10 ไร่ บริเวณถนนสาย 304 เป็นเขตนิคมอุตสาหกรรมและโรงงาน ใช้งบฯก่อสร้างรวมที่ดิน 300 ล้านบาท
"น.พ.กำพล พลัสสินทร์" กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) เชื่อว่า ในอนาคตโรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีจุดขายชัดเจน หรือวาง โพซิชันนิ่งดูแลลูกค้าเฉพาะกลุ่ม มีโอกาสที่จะอยู่รอดท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง เพื่อรองรับการขยายตัว ที่ผ่านมา โรงพยาบาลจุฬารัตน์ยังได้นำบริษัทเข้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อระดมทุนครั้งใหญ่ และทำให้ปลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าซื้อหุ้นของโรงพยาบาลชลเวชไม่น้อยกว่า 80% คิดเป็นงบฯลงทุน 50-60 ล้านบาท เป็นโรงพยาบาลขนาด 20 เตียง พร้อมลงทุนโรงพยาบาลใหม่เพิ่มอีกแห่งที่ปราจีนบุรี พื้นที่กว่า 10 ไร่ บริเวณถนนสาย 304 เป็นเขตนิคมอุตสาหกรรมและโรงงาน ใช้งบฯก่อสร้างรวมที่ดิน 300 ล้านบาท
"น.พ.กำพล"
ระบุว่า ถือเป็นการกลับมาลงทุนในรอบ 10 ปีของกลุ่มจุฬารัตน์
ซึ่งทิศทางจากนี้จะขยายให้ได้ปีละ 1 สาขา ส่วนโรงพยาบาลเดิมมีโครงการส่วน ต่อขยาย
เพิ่มพื้นที่บริการและจำนวนเตียงอีกแห่งละ 50 เตียง จากที่มี 100 เตียง
ก่อสร้างอาคารใหม่เป็นตึก 5 ชั้น ทยอยปรับปรุงในส่วนของจุฬารัตน์ 3 จุฬารัตน์ 9
และจุฬารัตน์ 11
ส่วนแผนลงทุนปี
2557 เตรียมงบฯไว้ 400-500 ล้านบาท สำหรับโครงการส่วน ต่อขยาย
และมีแผนหาเครือข่ายโรงพยาบาลต่างจังหวัด ทั้งรูปแบบเข้าไปถือหุ้น และส่งต่อคนไข้เพื่อขยายฐานลูกค้า
"เราเน้นบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร
ถ้าลดรายจ่าย กำไรก็มากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้เท่าเดิม อย่างลงทุนเครื่องสลายมะเร็ง
1 เครื่อง ใช้ส่งต่อคนไข้จากสาขาอื่น ๆ ทั้งของเราเองและโรงพยาบาลพันธมิตร
หรือกรณีศูนย์หัวใจครบวงจรที่ลงทุนไป
ก็เปิดเป็นศูนย์รับส่งต่อหัวใจมีโรงพยาบาลร่วมกว่า 40 แห่ง
ทำให้คุ้มทุนเร็วและใช้ประโยชน์สูงสุด"
อีกค่ายที่ปรับตัวอย่างชัดเจนคือ
โรงพยาบาลบางโพ ซึ่งไม่มีนโยบายขายกิจการให้กับเครือใหญ่ แต่ใช้วิธีผนึกพันธมิตร
โดยในปีนี้ได้จับมือกับโรงพยาบาลกรุงเทพเปิดศูนย์หัวใจในโรงพยาบาลบางโพ
ทำให้การบริการทางการแพทย์แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยปีหน้าเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง
เตรียมงบฯ 200-300 ล้านบาท เพื่อสร้างตึกใหม่
ขณะที่โรงพยาบาลนนทเวชซึ่งมีเพียง
1 สาขาในปัจจุบัน ก็ได้รีโนเวตพื้นที่ด้านในเพื่อรองรับลูกค้า และในปีนี้ก็ได้ซื้อที่ดินบริเวณติดกันขนาด
4 ไร่ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ
วันนี้จึงเป็นยุคที่ค่ายเล็กและกลาง
ที่แม้จะเสียเปรียบด้านเครือข่ายและความครบวงจร พยายามปรับตัวและหา
"จุดขาย" ของตัวเอง ด้วยการชูความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อเจาะลูกค้า
"นิชมาร์เก็ต" เพื่อความอยู่รอด
เมื่อทุกค่ายทั้งเล็ก
กลาง ใหญ่ เดินเกม รุกตลาดเต็มที่ ปีหน้าจึงเป็นอีกปีที่การแข่งขัน ในธุรกิจ
"โรงพยาบาลเอกชน" เต็มไปด้วยความดุเดือดและคึกคักไม่แพ้ปีนี้
ที่มา:
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น