ปีปฏิทินนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์สมมติขึ้นเพื่อกำหนดช่วงเวลาในการเพาะปลูกพืชชนิดต่างๆ
ในแต่ละฤดูกาล ซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่ออ้างอิงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ที่เกิดขึ้นได้เช่นกันทั้งการนับอายุ การเริ่มต้นและสิ้นสุดลงของเหตุการณ์
หรือกล่าวได้ว่าแสดงถึงความไม่หยุดนิ่งของธรรมชาติ
ซึ่งมนุษย์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งต่างๆ
อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ทั้งบุคคลรอบข้าง เหตุการณ์ที่ได้ประสบพบเจอ ข่าวสารที่รับรู้
และอายุขัยที่เพิ่มมากขึ้นด้วยเหตุนี้นักการตลาดจึงต้องคอยปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่าง
สม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภคได้อย่างถูกต้อง
ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นในใจของกลุ่มเป้าหมาย
จนเกิดการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ และเลยไปสู่ความจงรักภักดีในแบรนด์
ในท้ายที่สุด
หลักการที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี สังคมและวัฒนธรรม
ซึ่งจะมีผลต่อ การวางแผนการตลาดในอนาคตตลอด ช่วง 5-10 ปี ข้างหน้า โดยประกอบไป
ด้วย 5 แนวทางหลัก คือ
1.
Reset - ย้อนสู่จุดกำเนิด
แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค
ในยุคต่อไปจะเปลี่ยนกลับไปให้ความสำคัญ กับความเรียบง่าย ทั้งในเรื่องของการออก
แบบผลิตภัณฑ์ การใช้งานและการสื่อสาร เช่น
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีเพียงปุ่มเพียงปุ่มเดียวหรือไม่มีเลย
รวมถึงใช้สีที่เรียบไม่ฉูดฉาด
ในส่วนของการสื่อสารนั้นผู้บริโภคจะมองหาความน่าเชื่อถือ
มากกว่าคำโฆษณาถึงประโยชน์ที่ตนจะได้รับหรือความ ล้ำสมัยของผลิตภัณฑ์นั้นๆ
ดังนั้นแบรนด์จะต้องนำเสนอจุดเด่นของแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ให้เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงหรือจับต้องได้
2.
Urbanite - ความสะดวก
จากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ได้ทำให้ผู้บริโภคเคยชินกับความสะดวกรวดเร็วในการทำกิจกรรมต่างๆ
ผ่านทางอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช่น สมาร์ทโฟนหรือ แท็บเล็ต
และด้วยความสะดวกรวดเร็วนี้เองได้ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถรับรู้และสัมผัสกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวได้อย่าง
สะดวกรวดเร็ว
ซึ่งความเร็วและความเคยชินนี้เป็นสิ่งที่ผลักดันให้ผู้บริโภคพยายามหนีออกจากความจำเจในสังคมที่ตนอยู่ไปสู่การเสาะ
แสวงหาเรื่องราวและประสบการณ์แปลก ใหม่ จากต่างสถานที่และต่างวัฒนธรรม
จนนำไปสู่การผสมผสานทางวัฒนธรรม
3.
Digitize - โลกแห่งดิจิตอล
การเติบโตของเครือข่ายทั้งในระบบ
มีสายและไร้สาย
ได้เปิดโอกาสให้ผู้คนจำนวนมากเข้าถึงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้จากทุกหนแห่ง
และด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำลงทุกขณะ ซึ่งผู้คนเหล่านี้ก็ได้นำข้อมูลข่าว
สารจากโลกจริงเปลี่ยนมาเป็นข้อมูลดิจิตอล และนำเข้าสู่โลกออนไลน์ด้วยเช่นกัน
ด้วยการแชร์ข้อมูลเหล่านี้บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ทำให้เกิดการรวมกลุ่มของผู้คนที่มีความสนใจรวมกันบนโลก
ออนไลน์ ซึ่งแบรนด์ก็ได้ตอบสนองต่อการ รวมกลุ่มเหล่านี้ด้วยการเสนอสินค้าและบริการ
เช่น เว็บไซต์โซเชียลมีเดียหรือการ ช็อปปิ้งเป็นกลุ่มอย่าง Groupon
4.
Innovate - สัมผัสนวัตกรรม
เดิมนั้นแบรนด์จะเป็นผู้ทำหน้าที่เลือก
สรรและนำเสนอประสบการณ์ต่างๆ
ให้แก่ผู้บริโภคซึ่งทำได้แต่เพียงรับรู้ประสบการณ์เหล่านั้น โดยไม่สามารถดัดแปลง
แก้ไขส่วนหนึ่งส่วนใดได้
ซึ่งแม้วิธีการนี้จะสร้างความสนใจให้เกิดขึ้นในหมู่ผู้บริโภค
แต่จะไม่ได้ความสนใจในระยะยาว
ดังนั้น
ด้วยการอาศัยเทคโนโลยีและ นวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น
จะช่วยให้ผู้บริโภคก้าวข้ามจากผู้รับประสบการณ์มาเป็นผู้เลือกและสร้างสรรค์ประสบการณ์เฉพาะในแบบของตน
โดยปัจจุบันผู้บริโภค นิยมที่จะเลือกสัมผัสประสบการณ์สไตล์แฟนตาซีและไซไฟ มากขึ้น
5.
Inspire - แรงบันดาลใจ
ในปัจจุบันผู้บริโภคต้องการให้แบรนด์
เป็นมากกว่าพ่อค้าที่มีหน้าที่เพียงขาย สินค้า หรือบริการ
แต่ต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในสังคมที่แบรนด์นั้นตั้งอยู่ และแบ่งปันความ
มั่งคั่งของตนในการให้ความช่วยเหลือแก่สังคม
เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
ซึ่งตัวผู้บริโภคเองก็ต้องการที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมเพื่อสังคมเหล่า
นั้นเช่นกัน เนื่องด้วยความเชื่อที่ว่าตนเอง
สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นแก่สังคมได้ นอกจากนี้
การช่วยเหลือสังคมที่ตนเข้ามีส่วนร่วมจะต้องเป็นกิจกรรม การพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย
นี่คือหลักการทั้ง
5 ข้อ ที่แบรนด์ต่างๆ
จำเป็นจะต้องยึดเป็นแก่นในการสร้างแคมเปญและกลยุทธ์การตลาดในอนาคตนับจากนี้ไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น