เรามามองเทรนด์เทคโนโลยีในอนาคตที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยปี
2560 นี้กัน
สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในไทย สำหรับเทรนด์ด้านไอทีมีดังนี้
1 ) Cloud Computing
หน่วยงานต่างๆไม่เว้นแม้กระทั่งตัวผู้ใช้คอมเองก็ใช้
Cloud Computing ในการทำงาน ประเทศไทยใช้ซอฟต์แวร์ Saas มากขึ้น
ทั้งบริษัทต่างๆและสถาบันการเงิน เช่น Salesforce, Google Apps และ Microsoft Office 365 นอกจากนี้ยังมีบริษัทซอฟต์แวร์รวมถึงกลุ่ม
Tech- Start up จำนวนมากที่มาใช้ IaaS หรือ
PaaS อย่าง Amazon Web Services หรือ Microsoft
Azure เรื่อง cloud นี่ใกล้ตัวผู้ใช้อยู่แล้วเพราะแค่สมาร์ทโฟนก็มีระบบ
cloud ให้ใช้กัน แต่มันไม่ใช่แค่ฝากข้อมูลหรือ sync งานต่างๆเท่านั้น ยังมีระบบอื่นๆที่ซ่อนอยู่ด้วย เช่น Maching
Learning บนมือถือ ก็เริ่มมาใช้บนมือถือแล้วเช่น Nextbit
Robin หรือ Huawei Mate 9
2) Internet
of Things (IoT)
IoT (Internet
of Things) เป็นหนึ่งในแนวโน้มเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกซึ่งจะชัดเจนที่บ้านก้าวสู่
Smart Home , Smart City ,Smart Building มีกิจกรรมตั้งกลุ่มพัฒนาเรื่อง
IoT รวมถึง ค่าย True และ AIS มีวิสัยทัศน์ที่จะลุยตลาดบริการด้าน IoT มากขึ้น
และมีเรื่องรถอัจฉริยะ Smart Car ด้วย
แม้ว่าในไทยอาจจะไม่เป็นถึงขั้นรถยนต์ไร้คนขับ แต่ภายในมีเทคโนโลยี Machine
Learning เรียนรู้และปรับโหมดให้เหมาะสมกับผู้ขับรถมากขึ้น
3) เทคโนโลยีการชำระเงินผ่านมือถือ และ PromptPay
ประเด็นวงการชำระเงินผ่านมือถือที่ร้านแรงที่สุดคือ
พร้อมเพย์ ที่คาดว่าจะเริ่มใช้จริงภายในปี 2560 นี้
จากข่าวล่าสุดเรื่องการคืนภาษีก็จะใช้ช่องทางใหม่คือ PromptPay เป็นการลดการทำธุรกรรมการเงินโดยการใช้เงินสด แล้วหันไปใช้เลขประจำตัวประชาชน
หรือเบอร์โทรศัพท์มือถือ แทนเลขที่บัญชีธนาคาร ในการทำธุรกรรมการเงิน
ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง โมบายแบงก์กิ้ง เครื่องเอทีเอ็ม
น่าจับตาว่า หลังเผยโฉมออกมาแล้วคนไทยจะใช้บริการนี้มากน้อยแค่ไหน
และเรื่องสำคัญที่ต้องจับตา PromptPay คือด้านระบบความปลอดภัยบน
Prompt Pay
ในขณะที่ตลอดปี
2559 วงการ E-Commerce เริ่มเป็นประเด็นร้อนหลังจากที่ Alibaba ซื้อกิจการ Lazada
ซึ่งครอบคลุมทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเริ่มเปิดชำระเงินผ่าน Alipay
ตลอดจนการมาของ Tencent ผู้ให้บริการ WeChat
ก็จะเตรียมเริ่มให้บริการ WeChat Pay ให้ลูกค้าจีนที่ช้อปปิ้งที่ไทยด้วย
ก็จะเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2560 ไม่เพียงเท่านี้การมาของ
Samsung Pay ในปี 2559 ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ดันให้ใช้มือถือชำระเงินแทนบัตรเครดิตและเงินสดมากขึ้นในปี
2017 ด้วย
4) การทำงานผ่าน Mobility
พฤติกรรมการทำงานของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปใช้
Mobile
ในการทำงานมากขึ้น ปรับเทคโนโลยี และรูปแบบการทำงานให้รองรับ Mobility
มากขึ้น เช่นการประชุมออนไลน์ การทำงานแบบร่วมกัน การแชร์ข้อมูลผ่าน
Share Drive หรือ
การทำเอกสารแบบออนไลน์โดยใช้เครื่องมืออย่าง Google Docs หรือ
Office 365 การศึกษาก็สามารถเรียนต่อที่บ้าน
หรือที่อื่นๆได้ผ่านทาง Youtube Live หรือ Facebook
Live
5.) Digital
Transformation
ประเด็นร้อนของคนทำงานที่ต้องปรับตัว
หลังการมาของบริการต่างๆเช่น Uber, Agoda , iFlix , Netflix , Hollywood
HD , หรือแม้กระทั่ง Apple Music และ JOOX
และที่กระทบสุดๆต่อวงการทีวีคือ Facebook Live ทำให้องค์กรต่างๆก็เริ่มที่จะต้องปรับตัวเองมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้มากขึ้น
ทั้งในการบริหารงาน การบริการลูกค้า หรือสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพราะตลอดปี 2559 ที่ผ่านมา สื่อที่ได้รับผลกระทบจาก Digital Transformation ที่เห็นเด่นชัดคือ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ เทปและซีดี ร้านหนังสือการ์ตูน
ที่เริ่มทะยอยปิดตัวเพราะผลกระทบจากโลกออนไลน์ที่เร็วกว่า และดูได้ฟรี ผลกระทบจาก facebook
live ที่ทำให้คนสนใจสื่อถ่ายทอดสดทางออนไลน์มากขึ้นมากกว่าสื่อทีวีในปัจจุบัน
ซึ่งแนวโน้มจะมีมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อทีวีและวิทยุที่ต้องปรับตัวอีก
6.) ด้านความปลอดภัย IT Security
องค์กรต่างๆจำเป็นต้องมีความตื่นตัวด้านความปลอดภัยของเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น
ในช่วงปลายปีจะเห็นการโจรตีแฮกข้อมูลเว็บไซต์รัฐบาล หรือเรื่องใกล้ตัวก็มัลแวร์ Ransomware ทำให้องค์กรต่างๆต้องตื่นตัวเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยภายในองค์กรมากขึ้น
เพื่อลดความเสียหายของข้อมูลสำคัญภายในองค์กรน้อยที่สุด หรือไม่ให้เกิดเสียหายเลย
หน่วยงานภาครัฐก็ต้องให้ความสำคัญเรื่องระบบความปลอดภัย และจับตาเรื่อง
พรบ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ ที่จะบังคับใช้ในช่วงต้นปี 2017 นี้ว่าจะช่วยให้ลดในเรื่องการโจมตีผ่านทางไซเบอร์ได้จริงมั้ย
7.) Big
Data Analytics
อุตสาหกรรมต่างๆ
และสถาบันการเงิน เริ่มมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางด้าน BIG DATA มากขึ้น ทั้งรัฐบาลและเอกชน โดยภาครัฐจะให้ความสำคัญกับเรื่องของ Open
Data และมีนโยบายในการที่จะพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ในภาครัฐ ซึ่งก็มี EGA
ดูแลเรื่องนี้
องค์กรธุรกิจต่างๆให้ความสนใจกับการนำข้อมูลขนาดใหญ่ไปวิเคราะห์
เพื่อดูพฤติกรรมลูกค้าและปรับปรุงรูปแบบบริการ ที่ชัดเจนอย่างเช่นร้านค้าอัจฉริยะ Amazon
GO ที่เกิดขึ้นแล้วในสหรัฐอเมริกา
ที่สามารถตรวจสอบความสนใจของสินค้าแค่การหยิบการวาง ก็ยังมีการบันทึกไว้
เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า ทั้งรายคน และภาพรวม
8.) FinTech
ธนาคารในบ้านเราหลายๆแห่งมีการตั้งหน่วย
FinTech
เพื่อพยายามหานวัตกรรมใหม่ๆที่จะเข้ามาแทนที่รูปแบบการเงินแบบเดิมๆ
ขณะที่มีผู้เล่นรายใหม่ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินและกลุ่ม Start-up ที่สนใจเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานด้านธุรกรรมการเงิน
จนเริ่มมีการพูดกันว่าในอนาคตผู้คนจะใช้เทคโนโลยีในการทำธุรกรรมทางการเงินมากขึ้นและอาจทำให้จำนวนสาขาแบงค์น้อยลง สถาบันการเงินและผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือจัดการแข่งขันกันหานวัตกรรมใหม่ๆจากผู้เล่นที่เป็น
Start-up โดยการเข้าไปลงทุนหรือจัดประกวดต่างๆ
รวมถึงการศึกษาและหาช่องทางในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆอย่าง Blockchain เข้ามาใช้งาน
9.)เทคโนโลยี AR และ VR และ 360
องศา
จากที่เห็นการมาแรงของ
Pokemon
GO! , HTC VIVE , Playstation VR ตลอดจนถึงแพลตฟอร์มของ Facebook
360 องศา และการมาของ DayDream จาก Google
ที่รองรับสำหรับ Content VR โลกเสมือนโดยเฉพาะในช่วงปี2559
ทำให้น่าจับตามองว่าคอนเท้นต์เรื่อง AR , VR จะเป็นเทรนด์สื่อใหม่ที่สำคัญในปี
2560 ที่กำลังจะมาถึง ทั้งผ่านทางอุปกรณ์มือถือ และเครื่อง VR
Head Set
10.) บริการตั๋วร่วมระบบขนส่งมวลชน (ตั๋วแมงมุม)
หลังจากที่เผยโฉมในงาน
Digital
Thailand แล้วแต่ก็ไม่สามารถเปิดบริการได้ทันภายในช่วงหลังปีใหม่ 2017
ก็เลื่อนมาเปิดใช้งานจริงในช่วงกลางปี 2017 โดยระยะแรกจะมีการเชื่อมต่อระบบรถไฟฟ้า
BTS รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิ้งก์
หลังจากทางด่วนและมอเตอร์เวย์ที่ใช้ตั๋วร่วมนำร่องไปก่อนแล้ว
และอนาคตจะสามารถใช้บัตรตั๋วแมงมุมในการชำระสินค้าต่างๆได้ด้วย พอๆกับบัตร EZ
Link ซึ่งเป็นบัตรตั๋วร่วมในสิงคโปร์
ทั้งหมดนี้คือเทรนด์เทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยในปี
2560
ที่มา : it24hrs.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น